It was crowded when my mom and I arrived at lap swim this morning. We each got into different lanes and had to share those lanes with the people who arrived before us. Once my mom’s lane partner left, I moved into her lane. I swam a couple of laps and then I stopped at the wall. The lady who was swimming in the lane next to me before I moved called over to me, “Was my swimming that bad that you had to move lanes to get away from me?”
I instantly replied, “No.” Then asked her, “Wait. Are you asking seriously?”
“Yes, I am being serious.”
“No, I changed lanes because it’s easier for my mom if I swim with her. The lanes were all full when we arrived this morning.”
She had made a connection between my act of moving lanes to whatever insecurities she had about her swimming style. In truth, her swimming never even made it into my mind that morning.
It made me ask myself, how often do I make a connection between A and B when there isn’t a direct link there at all? For starters, I instantly connect crumbs on the kitchen table with laziness, a dirty bathroom with carelessness, uneaten food in the fridge with wastefulness. Could there be other options for what I see with my two eyes?
I don’t think I am lazy, careless, or wasteful, but I, too, have been the cause of crumbs, dirty bathrooms, and uneaten food. Only difference is, when I was the cause, I had good reasons. I didn’t have my glasses on while I was eating, I didn’t see the crumbs. I didn’t know I was shedding hair all over the bathroom floor, I can’t help it. I was going to eat those leftovers, I just didn’t have time.
Yet when it comes to something I think was caused by someone else (especially someone who is a frequent target of mine), I am so sure of their laziness, carelessness, wastefulness. It’s the first thing I think of. Because by now, I’ve collected enough selective evidence to associate these things with who they are to me. I don’t even leave room for impermanence.
It’s easy to switch lanes. It’s not so easy to switch to a new paradigm. But with a careful eye on our prejudices, it’s not impossible to inject some impermanence into them.
วันนี้พอเราสองคนไปถึงสระว่ายน้ำ มีคนว่ายอยู่เต็มสระแล้ว เราก็ลงคนละเลนกัน ว่ายกับคนที่ลงเลนก่อนเรา พอคนที่ว่ายกับแม่ออกจากสระไป เราก็ย้ายเข้าไปว่ายกับแม่ ว่ายไปสองสามรอบแล้วก็หยุดที่ขอบสระ ผู้หญิงที่ว่ายเลนข้างๆ กันก่อนที่เราจะย้ายเลน ตะโกนมาถามว่า “ฉันว่ายน้ำแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ที่คุณต้องย้ายเลนหนีฉัน”
เราตอบว่า “ไม่” หยุดคิดแป๊บนึงและก็ถามเขาว่า “ถามจริงๆ เหรอ”
“ใช่ ถามจริงๆ”
“ฉันเปลี่ยนเลนเพราะถ้าว่ายกับแม่มันจะง่ายกว่า ตอนที่เรามาเลนมันเต็มหมด”
เขาได้โยงการย้ายเลนของเรา กับอะไรก็ตามที่เขาคิดเกี่ยวกับการว่ายน้ำของเขา ที่จริงวันนั้นเราไม่ได้คิดเรื่องการว่ายน้ำของเขาเลย
ทำให้ถามตัวเองว่า เราเอาสองอย่างมาโยงกันแบบนี้ บ่อยเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่สองอย่างนี้ไม่เกี่ยวอะไรกันเลย ที่รู้ก็คือง่ายๆ ถ้าเห็น เศษอาหารอยู่บนโต๊ะกินข้าว ก็จะว่า คนมันขี้เกียจ ห้องน้ำไม่สะอาดก็จะว่า เขาไม่ใส่ใจ อาหารที่เหลือในตู้เย็นเยอะไปหมด ก็จะว่า คนอะไรชอบกินทิ้งกินขว้าง แต่มันจะมีอย่างอื่นที่เป็นไปได้ไหม
เราไม่เคยคิดว่าเรา ขี้เกียจ ไม่ใส่ใจ หรือ กินทิ้งกินขว้าง แต่เราก็เคยเป็นเหตุที่ทำให้โต๊ะเลอะด้วยเศษอาหาร ห้องน้ำเปื้อน หรือ อาหารที่กินเหลือเต็มตู้เย็นไปหมด แต่ตอนที่เราทำ เรามีเหตุมีผลที่ดีนะ ตอนกินข้าว ไม่ได้ใส่แว่นตาก็เลยไม่เห็นว่าโต๊ะ เลอะ ใครจะไปรู้ว่าผมตัวเอง หล่นตามพื้นห้องน้ำตอนไหน และว่าจะกินอาหาร ทั้งหมดนั้นแต่แค่ไม่มีเวลาไง
พอเป็นเรื่องที่เราคิดว่า ต้องเป็นคนอื่นทำแน่ๆ (เพราะเขามักจะเป็นเป้าของเรา) เรายิ่งกว่าแน่ใจอีกว่า เขาขี้เกียจ เขาไม่เคยใส่ใจ เขาชอบกินทิ้งกินขว้าง พอเห็น โต๊ะเลอะมันเป็นสิ่งแรกที่เราคิดถึงด้วยซ้ำ เพราะกว่าจะมาถึงตรงนี้ เราได้หาเก็บข้อมูล (โดยเฉพาะอันที่บงบอกเราว่า คนนั้นเป็นแบบที่เราคิดจริงๆ ) เยอะพอที่จะโยงเหตุการพวกนี้ กับตัวตนที่เราคิดว่าเป็นของเป้าของเรา ไม่เคยคิดว่าเราจะผิดได้ ไม่เคยคิดว่ามันจะไม่จริง
เปลี่ยนเลนมันเปลี่ยนง่าย แต่เปลี่ยนความเห็นไม่ง่ายเท่าไหร่ แต่ถ้าเราตั้งใจจับความรู้สึกของเราต่อผู้อื่น ที่ไม่ยุติธรรม เราอาจเริ่มเอาความไม่เที่ยงใส่เข้าไปได้บ้าง
No Comments